"โอมาน" งานยาก แต่ "ทีมชาติไทย" ทำได้!!

21.30 น. ของค่ำคืนวันอาทิตย์ที่ 21 มกราคม 2024 จะเป็นอีกหนึ่งห้วงเวลาที่แฟนฟุตบอลชาวไทย ต่างรอคอยกันด้วยใจจดจ่อ เพราะทัพช้างศึกจะเผชิญหน้าโอมาน โดยมีตั๋ว เอเชียน คัพ 2023 รอบ 16 ทีม สุดท้ายเป็นเดิมพัน

เราได้เปรียบกว่าคู่ต่อสู้ตรงที่แค่ผลเสมอก็มีโอกาสเข้ารอบน็อก-เอาต์ได้เป็นหนที่สองในประวัติศาสตร์ เพราะนัดแรกเก็บ 3 แต้ม จากการเอาชนะคีร์กีซสถาน ด้วยฟอร์มการเล่นสุดไฉไล

อย่างไรก็ตาม โอมาน ชุดนี้ถือว่าไม่ธรรมดา เพราะนักเตะเกินกว่า 10 คน นั้นเล่นร่วมกันมานานปี จะขาดเพียง โมฮาเหม็ด อัล-มูซาลามี่ ปราการหลังจอมเก๋าที่หลุดโผแบบไม่น่าเชื่อ รวมไปถึง คาลิด อัล-ฮาจรี่ กับ ราเบีย อัล-อาลาวี่ สองแนวรุกมากประสบการณ์ที่ไร้ชื่อเดินทางสู่กาตาร์

แม้จะไร้แข้งที่เจนเวทีนานาชาติ 3 ราย แต่ก๊วนนักเตะที่อยู่ในทีมชุดนี้ก็ยังแข็งแกร่งทุกตำแหน่ง – ผู้รักษาประตูพวกเขาเปลี่ยนมาใช้บริการ อิบราฮิม อัล-มูไคนี่ แทนที่ ฟาอิซ อัล-รุสฮาอีดี้ จอมหนึบวัย 35 ปี ที่เคยลงเฝ้าเสาพบกับไทย ในเกมกระชับมิตรมาแล้ว 2 ครั้ง (ปี 2019 และ 2021)

แนวรับ คาลิด อัลไบรกี้, อาลี อัล-บูไซดี้, อาเหม็ด อัล-คามีซี่ และ อาเหม็ด อัล-คาอาบี้ คือแข้งที่มีประสบการณ์โชกโชนพอสมควร ดังนั้นเรื่องของการรับมือกับความกดดันนั้นหายห่วง แถมพวกนี้ยังมีลูกล่อลูกชนที่ทำให้กองหน้าฝั่งตรงข้ามหัวเสียได้เสมอ

จุดแข็งของโอมาน ชุดนี้คือแผงมิดฟิลด์ ที่เล่นด้วยกันมานาน ฮาริบ อัล ซาอาดี้ คือแกนกลางหัวใจหลัก และเมื่อคู่กับ ซาลาห์ อัล-ยาห์เยอี เพลย์เมเกอร์ดาวรุ่งที่เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ มันคือส่วนผสมที่ลงตัวมากๆ

ส่วนแนวรุกด้านบน หมายเลข 10 จามีล อัล-ยาห์มาดี้ คือนักเตะที่ไทย ต้องระมัดระวังให้มากที่สุด เพราะหมอนี่เป็นปีกที่มีความไวสูงและสามารถฉีกแผงหลังด้วยการกระชากเพียงจังหวะเดียว ทั้งยังมีเท้าซ้ายอันร้ายกาจอีกด้วย

นี่แค่ตัวผู้เล่นก็เป็นงานที่สาหัสสากรรจ์สำหรับทัพช้างศึกแล้ว พวกเขายังมีกุนซือที่สุดแสนจะชาญฉลาดอย่าง บรังโก้ อีวานโควิช ซึ่งประสบความสำเร็จมากๆ ในอาชีพของตนเอง เพราะตอนทำทีมในระดับสโมสรก็คว้าแชมป์ลีกได้ถึง 3 ประเทศ (โครเอเชีย, จีน และอิหร่าน)

สำหรับผลงานกับทีมชาติ เขาเคยเป็นมือขวาของ มิโลสลาฟ บลาเซวิช ที่พาโครเอเชีย สร้างเซอร์ไพรส์คว้าอันดับ 3 เวิลด์ คัพ 1998 ที่ฝรั่งเศส หนำซ้ำพอตนเองก้าวขึ้นเป็นแม่ทัพใหญ่ ก็ยังนำอิหร่าน ทะยานไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายในปี 2006 อีกต่างหาก

นี่คืองานอันแสนหนักหน่วงของทีมชาติไทย ในวันอาทิตย์ที่ 21 มกราคมนี้

ชื่อของโอมาน อาจจะไม่ไพเราะเพราะพริ้งเหมือนญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, อิหร่าน หรือซาอุดีอาระเบีย แต่ศักยภาพของขุนพลจากอ่าวแซมบ้า (ฉายาของโอมาน) นั้นไม่เป็นรองชาติใหญ่ๆ ของเอเชีย สักเท่าไหร่แน่

แต่จากฟอร์มการเล่นในนัดแรก มันจึงทำให้แฟนฟุตบอลชาวไทย เองก็มีหวังไม่น้อย เนื่องจากขวัญและกำลังใจมาแล้ว

มาซาทาดะ อิชิอิ อาจจะเพิ่งคุมทัพช้างศึกได้ไม่นาน แต่ด้วยความที่คุ้นชินกับดินแดนขวานทองมาตั้งแต่ปี 2020 มันจึงทำให้เขารู้จักกับนักเตะในประเทศดีพอสมควร รวมทั้งยังเรียนรู้วัฒนธรรมแบบไทยๆ ที่มักจะมีความไม่เหมือนใครในบางเรื่อง พอได้คุมทีมชาติชุดใหญ่ อะไรต่อมิอะไรก็ค่อยๆ เป็นไปในทิศบวก

สิ่งที่สะท้อนออกมาคือฟอร์มในเกมชนะคีร์กีซสถาน นั่นแหละที่บ่งบอกได้ชัดเจนว่ามันสมองของกุนซือชาวญี่ปุ่น นั้นปราดเปรื่องเพียงใด

ณ เวลานี้ ลูกทีมของ อิชิอิ กำลังมั่นใจมากๆ แม้คู่ต่อกรในแมตช์ที่ 2 อย่างโอมาน จะมีดูเหนือกว่าก็ตาม เพราะอยู่อันดับ 9 ของเอเชีย ซึ่งสูงกว่าไทย หลายเท่าตัว

หากนักเตะยังเล่นได้ตามแท็กติกของโค้ช เล่นด้วยความมุ่งมั่นเหมือนนัดปะทะคีร์กีซสถาน เล่นเพื่อธงไตรรงค์บนอกข้างซ้าย รับประกันเลยว่าโอกาสหยิบ 3 แต้ม มีสูงทีเดียว

ขอเพียงไม่ประมาท อย่าพลาดแบบไม่ควรจะพลาด อดทนต่อความเขี้ยวลากดินของคู่แข่งจากเอเชียตะวันตกเข้าไว้ แล้วรอจังหวะของตนเองอย่างเยือกเย็น

“โอมาน” งานยาก แต่ไทย ทำได้

ชิกกะด้าว

Rate this post

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *